ตอนที่ 11: ชาติมุสลิมกับการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจและสังคมหลังยุคประชมคมอาเซียน 2 (มาเลเซีย)

วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

หลังจากที่ผมได้นำเสนอเกี่ยวกับประเทศบรูไนไปแล้วเมื่อสองสัปดาห์ก่อนคราวนี้ถึงคิวของมาเลเซียกันบ้างครับซึ่งถือเป็นชาติมุสลิมที่มีบทบาทอย่างสูงมาตลอดในการจัดตั้งประชาคมอาเซียนและยังเป็นประเทศที่คาดการณ์กันว่าจะเป็นประเทศที่ได้รับผลประโยชน์สูงสุดจากการจัดตั้งประชาคมอาเซียนรองลงมาจากสิงคโปร์

เรื่องหลังบ้านของมาเลเซีย
มาเลเซียถึงแม้ว่าจะเคยตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษมาก่อนแต่ด้วยความพยายามและการวางแผนที่ฉลาดหลักแหลมในการพัฒนาประเทศหลังจากได้รับเอกราชทำให้มาเลเซียสามารถพัฒนาประเทศได้อย่างรวดเร็ว จนกลายมาเป็น 1 ใน 5 มังกรเศรษฐกิจของเอเชีย (Little Dragons economic countries) ได้อย่างรวดเร็ว จนถึงปัจจุบันเศรษฐกิจของมาเลเซียก็ยังคงเติบโตอย่างมั่นคงต่อเนื่องและยังมีศักยภาพด้านการค้าการลงทุนมากที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาคนี้ ในส่วนของสังคมและวัฒนธรรมของมาเลเซียนั้น มาเลเซียมี ประชากร ประมาณ 28 ล้านคน ซึ่งประมาณ 65% เป็นมุสลิม 27% เป็นชาวจีน และ 8% เป็นอินเดียประเทศนี้จึงถือได้ ว่าเป็นประเทศที่มีสังคมแบบพหุวัฒนธรรมหลากหลายมากที่สุดในอาเซียน แต่ถึงกระนั้นคนทั้งสามเชื้อชาติ นี้ก็ยังคงใช้ชีวิตเข้ากันได้ตามปกติเหมือนประชาคมเดียวกัน


นาจิบ ตน รอซัค นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของมาเลเซียจากพรรคอัมโน
การเปลี่ยนด้านเศรษฐกิจ
หลังจากเปิดประตูสู่อาเซียนแล้วมาเลเซียจะสามารถเพิ่มขีดการพัฒนาประเทศของตนเองได้มากยิ่งขึ้น เนื่องจากมาเลเซียมีระบบเศรษฐกิจที่มั่นคงและเสถียรภาพอยู่แล้ว โดยคาดการณ์กันว่าแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงด้านเศรษฐกิจของมาเลเซียในอนาคตจะเป็นไปตามข้อวิเคราะห์ดังต่อไปนี้ ครับ
1.มาเลเซียจะก้าวขึ้นมาเป็นประเทศเศรษฐกิจเบอร์ 2 ของอาเซียน
หลังจากสิงคโปร์แล้ว ในอนาคตมาเลเซียจะก้าวกระโดดข้าม อินโดนีเซีย และไทย ขึ้นมาเป็นประเทศผู้ทรงอิทธิผลด้านเศรษฐกิจอันดับ 2 ของอาเซียนอย่างแน่นอน เพราะถึงแม้ขนาดของประเทศและจำนวนประชากรจะน้อยกว่ามาก และสู้ไทยกับอินโดไม่ได้ แต่ด้วยประสบการณ์การเจรจาทางการค้าระหว่างประเทศที่เหนือกว่า  การมีรัฐบาลที่ใส่ใจด้านเศรษฐกิจเป็นพิเศษ การหลั่งไหลเข้ามาลงทุนของต่างชาติ และมีจำนวนสินค้าส่งออกมากมายนับพันรายการ จะเป็นส่วนสำคัญที่จะผลักดันมาเลเซียสู่ตำแหน่งเศรษฐกิจที่ใหญ่โตอันดับสองของอาเซียน
บูกิต บินตัง ย่านการค้าและย่านท่องเที่ยวสำคัญใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์
2.มาเลเซียจะเพิ่มเพด้านการส่งออกมากขึ้น
มาเลเซียจะเพิ่มการส่งออกมากขึ้น โดยเฉพาะการส่งออกไปยังภูมิภาคตะวันออกกลาง ยุโรป และอัฟริกา  เช่น สินค้าอาหารฮาลาลที่ตอนนี้มาเลเซียเป็นโปรดิวเซอร์รายใหญ่ที่สุดในโลกมุสลิม,สินค้าจำพวกชิ้นส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้า,ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลี่ยม และเครื่องนุ่งห่ม เป็นต้น ในกลุ่มประเทศอาเซียนด้วยกัน มาเลเซียก็จะมีตลาดส่งออกเพิ่มข้นด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะลาว กัมพูชา เมียร์ม่า และไทย
สัญญาลักษณ์สินค้าจากมาเลย์จะหาซื้อได้มากขึ้นและราคาถูกลงในอนาคต
3.มาเลเซียจะสนับสนุนในด้านอุตสาหกรรมอีเล็กโทรนิกส์ รถยนต์ และอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมัน
มาเลเซียเป็นผู้นำในด้านอุตสาหกรรมอีเล็กโทรนิกส์และปาล์มน้ำมันในอาเซียนมาก่อนแล้วนับสิบๆปีแล้ว แต่ในอนาคต เมื่อ เวียดนาม ไทย และอินโดนีเซีย ซึ่งมีการพัฒนาด้านอีเล็กโทรนิกส์อย่างรวดเร็วและสามารถสู้กับมาเลเซียได้ ทำให้มาเลเซียต้องปรับปรุงพัฒนาตัวเองให้สูงขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งเพื่อรักษาตำแหน่งและครองตลาดอีเล็กโทรนิกส์เอาไว้ ปาล์มน้ำมันก็เช่นกัน ซึ่งไทยสามารถปลูกและผลิตน้ำมันปาล์มได้มากเป็นอันดับ 2 รองจากมาเลเซีย ทำให้มาเลเซียต้องยกระดับคุณภาพของผลิตน้ำมันปาล์มของตนเองขึ้นไปอีก ถึงแม้ว่าคุณภาพน้ำมันปาล์มจากไทยยังสู้มาเลเซียไม่ได้ก็ตาม
สินค้าเบอร์หนึ่งของมาเลเซีย ที่ส่งออกมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก
4.มาเลเซียจะเป็นศูนย์กลางการลงทุนด้านการเงินและการธนาคาร
มาเลเซียประกาศไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าตัวเองจะผันตัวเองไปเป็นนักการเงินและนักการธนาคารแข่งกับสิงคโปร์ให้ได้ในอนาคต และดูเหมือนว่าแผนของมาเลเซียจะได้ผลค้อนข้างดีด้วย กล่าวคือ ในปัจจุบันมีกลุ่มธนาคารจากประเทศอาหรับและยุโรปหลายรายได้เริ่มเข้ามาเปิดสาขาในมาเลเซีย นอกจากนี้ธนาคารยักษ์ใหญ่ของมาเลย์อย่าง May bank  ก็ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ทางการเงินและข้อเสนอใหม่ๆให้กับนักลงทุนด้วยเพื่อดึงดูดจำนวนผู้ใช้บริการให้มากขึ้นกว่าเดิมและเพื่อแบ่งตลาดจากสิงคโปร์ด้วย
ธนาคารรายใหญ่ๆในมาเลเซียมีศักยภาพสูงในการแข่งขัน
5.มาเลเซียจะมีระบบคมนาคมที่ดีเป็นอันดับหนึ่งของอาเซียน
ด้วยระบบเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วจะเป็นแรงกระตุ้นให้รัฐบาลมาเลเซียทุมเงินจำนวนไม่น้อยที่จะพัฒนาระบบคมนาคมและโลจิสติกส์จากปัจจุบันที่ทันสมัย สะดวก  และรวกเร็วอยู่แล้ว ให้เร็วและมีมาตรฐานสูงขึ้นไปอีก โดยเฉพาะการขนส่งทางอากาศที่ตอนนี้มาเลเซียกำลังสร้างสนามบินนานาชาติแห่งที่ 2 ขึ้นอีกแห่งหนึ่งเพื่อรองรับการขนส่งทางอากาศ(Cargo system) เช่นเดียวกันกับระบบการขนส่งทางเรือ ที่จะมีการยกระดับท่าเรื่อมะละกา และปีนัง ใหม่มีมาตรฐานสูงและรองรับสินค้าได้เป็นจำนวนมาก

สนามบินนานาชาติแห่งที่ 2 กำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง
6.มาเลเซียจะประสบปัญหาด้านการขาดแคลนแรงงาน
มาเลเซียอย่างที่ได้บอกไว้คือ มีประชากรดั่งเดิมที่เป็นคนมาเลเซียเพียงแค่ 28 ล้านคนเท่านั้น ซึ่งนั้นหมายถึงมีกำลังคน แรงงานไม่เพียงพอต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ แถมเรื่องของทักษะแรงงานชาวมาเลเซียก็สู้ทักษะแรงงานจากไทย  อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนามไม่ได้ทำให้มีการคาดการณ์กันว่าในอนาคตจะมีแรงงานเข้าไปทำงานในมาเลเซียมากขึ้นอย่างแน่นอน โดยเฉพาะในภาคการเกษตร อุตสาหกรรม และการก่อสร้าง ปัจจุบันมีแรงงานต่างชาติทำงานอยู่ในมาเลเซียประมาณ 2 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นคนไทยประมาณ 250,000-400,000 คน
การเปลี่ยนแปลงด้านสังคม
1.ภาษาและการศึกษา
มาเลเซียมีพื้นฐานภาษาอังกฤษดีมากและปรับใช้ในการเรียนการสอนในโรงเรียนกับเด็กๆตั้งแต่ระดับปฐมศึกษาแล้ว  ทำให้ชาวมาเลย์พูดได้เก่ง และสามารถปรับตัวเข้ากับการจัดตั้งประชาคมอาเซียนได้อย่างสบายๆ และมีโอกาสในการค้า การลงทุน การติดต่อกับชาวต่างชาติได้มากกว่าประเทศอื่นๆในภูมิภาคมากหลายเท่า ในด้านการศึกษาก็เช่นกัน มาเลเซียได้รับความนิยมมากในถูมิภาคอาเซียนรองลงมาจากสิงคโปร์ เพราะที่นี่ใช้ภาษาอังกฤษในการเรียนการสอน และมีระบบการศึกที่มีมาตรฐานสูงไม่เเพ้สิงคโปร์และที่สำคัญได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ ปัจจุบันมีนักศึกษาทั่วทุกมุมโลกมาศึกษาที่มาเลเซีย ประมาณ 15,000-20,000 คน กระจัดกระจายอยู่ตามมหาวิทยาลัยต่างๆ โดยที่ International Islamic University  Malaysia มีนักศึกษามากที่สุด ประมาณ 6,000-8,000 คน
       International Islamic University  Malaysia
2.ศาสนา
ศาสนาในมาเลเซียย่อมมีผลกระทบบ้างจากการเปิดประชาคมอาเซียนเพราะถึงแม้อิสลามจะเป็นศาสนาประจำชาติและมีผู้นำถือมากที่สุด แต่ด้วยการเปิดประชาคมอาเซียนจะทำให้มีศาสนิกอื่นๆแทรกเข้ามาและมีจำนวนมากขึ้น แต่รัฐบาลมาเลเซียก็ไม่ได้กังวลกับปัญหานี้เพราะรัฐบาลเปิดกว้างในการนับถือศาสนาอยู่แล้วอีกอย่างคนมาเลเซียก็เหมือนกับชาวบรูไนที่มีความรักษาในศาสนาและอัตลักษณ์ของตนเองค้อนข้างสูงอยู่แล้วจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเปลี่ยนแนวคิดไปรับศาสนาอื่นได้ง่ายๆ แม้กระทั้งคนจีนและอินเดียเองเขาก็รักและมั่นคงในการนับถือศาสนาของเขา
มัสยิด Nagara  (มัสยิดแห่งชาติใจกลางกรุงกัวลาลัมเปอร์)
3.สังคม
ต้องยอมรับว่าความจริงแล้วมาเลเซียมีความแตกต่างด้านสถานะทางสังคมค่อนข้างสูง กล่าวคือ ชาวมาเลย์ถูกจัดวางในฐานะผู้อาศัยดั่งเดิม(Bumi Putra)ซึ่งมีอำนาจในการปกครองประเทศ และมีสิทธิพิเศษมากว่ากลุ่มคนอื่นๆ ส่วนชาวจีนถูกจัดวางเป็นกลุ่มพ่อค้า นักลงทุน และในส่วนของคนอินเดียถูกจัดวางเป็นกลุ่มผู้ใช้แรงงาน  ถึงแม้มาเลเซียจะเปลี่ยนไปมากและมีนโยบายกลืมกลื่นชาติ (Assimilation Policy) เพื่อสร้างจิตสำนึกความเป็นมาเลย์ของคนทุกกลุ่มในประเทศ ถึงเเม้นโยบายนี้จะได้รับการตอบรับและมีแนวโน้มที่ดีมากจากสังคมในภาพรวม แต่ในเบื้องลึกแนวคิดการแบ่งแยกทางสังคม ชาติพันธุ์ และชนชั้นยังคงวนเวียนตายเกิดในใจของคนมาเลย์ทั้งสามกลุ่มอยู่เสมอ และอาจจะต้องใช้เวลาในการปรับตัวและปรับความเข้าใจเข้าหากัน ซึ่งสอดคล้องกับคำตอบจากเพื่อนสนิทของผม Suresh Kumar เป็นชาวฮินดู อินเดียน มาเลย์ ที่กำลังศึกษา ป.โท รัฐศาสตร์อยู่ด้วยกันที่ International Islamic University  Malaysia ว่า  “นโยบายเป็นสิ่งที่ดี แต่คงอยากที่จะทำให้ทุกคนมีความสุข พอใจ และรักความเป็นมาเลย์จากนโยบาย One Malaysia เหนือเชื้อชาติ และชนเผ่าของตนเอง
นโยบาย One Malaysia เพื่อหลอมร่วมทุกเชื้อชาติเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว
4.วัฒนธรรม
นี้อาจจะเป็นจุดอ่อนของมาเลเซีย และอาจเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดจากกการจัดตั้งประชาคมอาเซียน เพราะมาเลเซียประกอบด้วยคนหลายเชื้อชาติ หลายศาสนา การรับวัฒนธรรมจากตะวันตกและตะวันออกมีค้อนข้างสูง ผมเองมาอยู่ที่นี่สามปี สังเกตุเห็นได้ชัดเลยว่าคนมาเลย์รับวัฒนธรรมต่างชาติมาเยอะพอสมควรและมีมาอย่างเรื่อยๆ เช่น การจัดงานวันเกิด (Bird day ceremony ) ที่มุสลิมเองก็มีจัดกันทั่วไป หรือแม้กระทั้งการพบปะ พูดคุย  ทักทายก็มักจะใช้ คำว่า Hi, Hello, และ Bey Bey  แทนที่จะใช้การสลามและจับมือ ก็เป็นที่น่าจับตาดูเหมือนกันว่าการเปลี่ยนแปลงด้านวัฒนธรรมของมาเลย์จะเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยเพียงใดในอนาคต
สังคมพหุวัฒนธรรมของมาเลเซีย “เราแตกต่าง แต่เราอยู่ร่วมกันได้”


0 ความคิดเห็น: